ความเจ็บป่วยสามารถสร้างความทุกข์ทรมานใจให้เราเสมอ โดยเฉพาะความเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นโรคทางกายหรือทางใจ อย่างเช่น โรคซึมเศร้า ไบโพลาร์ โรควิตกกังวล โรคแพนิกหรือโรคทางจิตเวชอื่น ๆ การกินยาและการรักษาที่ยาวนานทำให้ผู้ป่วยรู้สึกทุกข์ทรมานใจไม่มีความสุขกับชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติหรือแปลกแยกแตกต่างจากผู้อื่น จีเองก็เคยรู้สึกเช่นนั้นแต่หลังจากที่จีได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองในช่วงที่จีป่วยด้วยโรคซึมเศร้าและโรคจิตเวชอื่น ๆ มันทำให้จีสามารถมีความสุขท่ามกลางความทุกข์และสามารถพาตัวเองกลับสู่สุขภาวะจากโรคซึมเศร้าหรือทุกโรคที่จีมี สามารถพัฒนาตนเองให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ตั้งแต่ยังไม่หายป่วย รวมทั้งรู้สึกได้ว่าชีวิตในปัจจุบันมีความสุขและประสบความสำเร็จในแบบของตัวเองได้มากกว่าชีวิตก่อนป่วยอีกค่ะ จีนำกรณีศึกษา ผู้ป่วยไบโพลาร์กับชีวิตใหม่ที่เลือกเอง ซึ่งเธออนุญาตให้จีได้ดูแลส่วนตัวและแชร์ประสบการณ์ของเธอเพื่อเป็นประโยชน์ เป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนผู้ป่วยได้พบชีวิตใหม่ในแบบที่เลือกเองเช่นกัน
คุณอร (นามสมมติ) ผู้ป่วยไบโพลาร์ ที่อยู่ในช่วงซึมเศร้า (Mania) เธอทักจีมาทางอินบ๊อกซ์ เพจเยียวยารักษาใจ : Heal your mind by GG ด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นแล้วเล่าว่ามีอาการดิ่งสุด ๆ มาตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. 2564 และในวันที่ 19 พ.ค. 2564 ต้องแอดมินเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการหูแว่ว จำอะไรไม่ค่อยได้ พอหลับตาก็มีแต่ความคิดไหลเข้ามาในหัว เธอรู้สึกสงสารลูก ๆ และสามีที่ต้องดูแลเธอ ก่อนหน้านี้เธอเคยป่วยอาการรุนแรงมาแล้ว และกินยารักษามาประมาณ 7 ปีแล้วแต่กินยาแบบกิน ๆ หยุด ๆ จนอาการกลับมากำเริบรุนแรงอีกครั้ง คุณหมออนุญาตให้เธอออกจากโรงพยาบาลในวันที่ 20 พ.ค. 2564 แล้วเธอก็ตั้งใจกับตัวเองว่าจะพยายามกินยาและพบคุณหมอตามนัด จะไม่หยุดยาเองและจะออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย
สิ่งที่เธอย้ำคิดอยู่ตลอดคือ อยากทำงานได้ดี คิดตัดสินใจเองได้แบบเมื่อก่อน อยากกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม เพราะตอนนี้เธอชอบคิดว่าตัวเองทำทุกอย่างช้าลงไป ไม่เหมือนเดิม แต่ทุกคนรอบข้างก็บอกว่าเธอปกติ แต่เธอก็ยังคงมีความรู้สึกว่าตัวเองทำทุกอย่างช้าลงไปหมด หัวตื้อ ๆ เรียงลำดับไม่ถูกว่าจะทำอะไรก่อนดี “ลำดับแรกขอแค่หลับเองได้ไม่ต้องพึ่งยา คงจะมีความสุขที่สุด” ความรู้สึกทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าโลกภายในของเธอกำลังปั่นป่วนและจิตใจของเธอยังไม่อาจสามารถยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้
แค่ระบายความรู้สึกอึดอัดใจก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว
ผู้ป่วยไบโพลาร์หรือโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่จะเก็บกดอารมณ์ความรู้สึกลบ ๆ ไว้จนท่วมท้น คุณอรก็เช่นเดียวกันและความรู้สึกลบ ๆ จากจิตใต้สำนึกที่ผุดขึ้นมารบกวนจิตใจเธอทำให้เธอรู้สึกดิ่ง (จิตใต้สำนึกจะเปิดเมื่อเกิดความเจ็บป่วย อารมณ์ความรู้สึกที่เคยเก็บกดเอาไว้ตั้งแต่เด็กจนโตที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกจะผุดขึ้นมา) สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเธอในตอนนั้นที่จำเป็นต้องทำ ก็คือ การให้เธอได้ระบายอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดออกมาให้ได้มากที่สุด ช่วงแรกที่เธอใช้บริการโทรพูดคุยเธอยังมีอารมณ์ความรู้สึกที่อ่อนไหวมากและมักจะร้องไห้ฟูมฟาย เพราะอารมณ์ความรู้สึกที่เก็บกดไว้มานานจนท่วมท้นเหมือนจะระเบิดออกมา
เธอบอกว่าสามีคอยดูแลอยู่เคียงข้าง แต่เวลาที่เธอมีอาการรบกวนและพูดถึงเรื่องที่เธออยากดีขึ้น อยากหายป่วยนั้นสามีของเธอกลับไม่เข้าใจแล้วใช้คำพูดที่ส่งผลให้เธอรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ เธอมีความรู้สึกผิด โทษตัวเอง รู้สึกเหมือนเป็นภาระที่ทำให้สามีเหนื่อย เพราะเธอไม่สามารถทำงานหรือดูแลครอบครัวและลูก ๆ ได้เหมือนเดิม ความรู้สึกอยากกลับไปเป็นคนเดิม อยากทำอะไรได้เหมือนปกติ อยากหายป่วย ทำให้เธอกดดันตัวเอง รวมทั้งความรู้สึกลบ ๆ ที่มาจากปัญหาเรื่องงานและความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว คนรอบตัว ที่ทำงาน บวกกับความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกของเธอทำให้เธออารมณ์ขุ่นมัว เศร้าหมองมีความรู้สึกที่ท่วมท้นจนทำให้เธอรู้สึกอึดอัดขุ่นข้องหมองใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่เธอได้พูดคุยระบายความรู้สึกที่ท่วมท้นนั้นออกมาได้ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น แค่ได้ระบายก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว คุณอรเริ่มมีสติ เริ่มมีความหวังและมีกำลังใจมากขึ้น
ยิ่งอยากหายจะยิ่งไม่หาย
“มีแต่ความรู้สึกว่าอยากหาย ๆ ๆ” เป็นประโยคที่คุณอรเขียนส่งมาบอกจี ในช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานใจที่สุดช่วงหนึ่งของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ไบโพลาร์หรือโรคทางจิตเวชที่มีคล้าย ๆ กัน ก็คือช่วงเวลาที่ใจเราปฏิเสธหรือหลีกหนีความจริง เพราะใจเราไม่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวหรือไม่เข้าใจสภาวะจิตใจหรือ ลำดับขั้นความโศกเศร้าภายในใจตนเอง “ความรู้สึกอยากหายป่วย อยากหายเร็ว ๆ ไม่อยากกินยา” สามารถสร้างความทุกข์ทรมานใจให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก บางทีมากกว่าตัวโรคด้วยซ้ำ คุณอรเองเธอก็อยู่ในช่วงเวลานี้ตอนที่ได้พบกับจี เธอบอกอยากหายป่วย อยากกลับไปร่าเริงใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเดิม อยากนอนหลับเองได้ ไม่อยากใช้ยานอนหลับ อยากหยุดยาได้ ไม่อยากเป็นภาระของคนอื่น หลากหลายความรู้สึกอยากและไม่อยากที่เกิดขึ้นเมื่อเราต้องป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไบโพลาร์ รวมทั้งโรคเรื้อรังทั้งทางกายและทางใจอื่น ๆ เพราะความทุกข์ทรมานใจที่มันหลั่งไหลเข้ามาจนทำให้เรารู้สึกว่าอยากจะพาตัวเองออกไปจากจุดนั้นเร็ว ๆ
“ลำดับแรกขอแค่หลับเองได้ไม่ต้องพึ่งยา คงจะมีความสุขที่สุด” เป็นประโยคที่เธอเคยบอกไว้ แล้วเธอก็พยายามที่จะหลับเองโดยไม่ใช้ยา แต่ก็ทำไม่สำเร็จทำให้เธอทุกข์ใจและเครียด รวมทั้งกดดันตัวเองอย่างไม่รู้ตัว “ยิ่งอยากหาย จะยิ่งไม่หาย เราจำเป็นต้องทำใจยอมรับความจริงก่อน” เป็นประโยคที่จีใช้เตือนสติเพื่อนผู้ป่วยเพื่อให้เกิดความตระหนักรู้และตั้งหลักเพื่อวางใจในการกินยาและการรักษาได้ หลังจากที่พูดคุยปรับความคิดเพื่อสร้างความเข้าใจและแนวทางในการเยียวยาและพัฒนาตนเอง คุณอรตระหนักรู้และสามารถยอมรับความจริง วางใจในการกินยาและการรักษาได้ดีขึ้น ในที่สุดการกินยาก็ไม่ได้เป็นปัญหาหรือไม่ได้ทำให้เธอทุกข์ทรมานใจอีกต่อไป เธอกินตามหน้าที่ของตัวเองเพราะจำเป็นต้องกิน สิ่งสำคัญคือการโฟกัสไปกับชีวิตที่มีความสุขและความสำเร็จในทุก ๆ วันของเธอต่างหาก แล้วในที่สุดเธอก็สามารถนอนหลับเองได้อย่างสบายมาก โดยไม่ต้องใช้ยานอนหลับอีกต่อไป
การเยียวยาบำบัดจิตใต้สำนึก ปลดล็อคปมปัญหาภายในใจ
จากเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตของคุณอรที่ได้เล่าคร่าว ๆ ให้จีฟังก่อนที่จีจะแพลนการเยียวยาบำบัดจิตใต้สำนึกให้เธอนั้น อารมณ์ความรู้สึกที่เศร้าหมอง ขุ่นมัว ความรู้สึกผิดหวัง น้อยเนื้อต่ำใจ ความรู้สึกเจ็บปวดที่ท่วมท้นและกระตุ้นอาการของเธอนั้น สาเหตุสำคัญมาจากเหตุการณ์ที่ยังสะเทือนใจในวัยเด็กที่เธอได้สูญเสียคุณพ่อ และความรู้สึกขัดแย้งภายในใจที่เธอมีต่อตัวเองและผู้อื่น โดยเฉพาะปัญหาความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและคุณพ่อของสามีของเธอที่เป็นความเครียดสะสมเรื้อรังมายาวนาน จีช่วยให้เธอได้เปิดใจเพื่อระบายความรู้สึกที่ท่วมท้นนั้นด้วยการโทรพูดคุยระบายไปบ้างแล้ว และการเยียวยาบำบัดจิตใต้สำนึกนี้จะช่วยเยียวยาและเคลียร์พลังความรู้สึกหรืออารมณ์ลบ ๆ ที่เธอได้กดเอาไว้มายาวนานที่ยังคั่งค้างอยู่ภายในใจ ซึ่งส่งผลให้โลกภายในใจของเธอเศร้าหมองและปั่นป่วน รวมทั้งปลดล็อคปมปัญหาภายในใจที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก เพื่อแก้ปัญหาชีวิตที่ติดขัดและช่วยให้เธอเชื่อมโยงกับเด็กน้อยภายในตัวเอง เพื่อให้เธอรักและเมตตาตัวเองเป็นแล้วสามารถดึงศักยภาพที่ดีของเธอออกมาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกจากนี้จียังช่วยให้เธอได้เปลี่ยนความเชื่อเดิม ๆ โดยเฉพาะความเชื่อที่มีต่อตนเอง คุณอรเริ่มมีสติและหลุดออกจากการวนลูปของอารมณ์ด้านลบ และมีพลังลุกขึ้นมาจัดระบบระเบียบชีวิตตัวเองใหม่ ตั้งเป้าหมายแล้วลงมือทำในสิ่งที่ควรทำได้มากขึ้น และปรับสมดุลร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิน การนอน การออกกำลังกาย การผ่อนคลายและฝึกรับมือจัดการกับความเครียดความกังวล อาการของคุณอรเริ่มทรงตัวมากขึ้นและทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นมากกว่าเดิมจนเห็นได้ชัด
มีความสุขและประสบความสำเร็จได้ในแบบของตัวเราเอง
มุมมองทางความคิด (Mindset) สำคัญต่อการมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตคนเราเป็นอย่างมาก หากเรามีความคิดที่ยึดติด (Fixed Mindset) หรือมีมุมมองทางด้านลบ เราก็จะไม่สามารถมองเห็นอีกด้านหนึ่งที่สวยงามของชีวิตได้ การพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองทางความคิดเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญที่จีช่วยสนับสนุนให้เพื่อน ๆ ได้ปรับเปลี่ยนและพัฒนามุมมองทางความคิดแบบยืดหยุ่นหรือเติบโต (Growth Mindset) เพื่อเปลี่ยนเส้นทางความคิดและชีวิตของตัวเองใหม่
คำว่า “โรค” หรือความเจ็บป่วยเป็นเงื่อนไขที่ถูกวางให้กับผู้ป่วย แต่ถ้าหากเราได้เปิดใจเรียนรู้และฝึก มอง “โรค” ในแง่ดี เราจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองเพื่อส่งตัวเองไปยังจุดที่ดีกว่าได้ คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์นั้นจะมีศักยภาพในเรื่องที่มีพลังในการทำสิ่งต่าง ๆ มีความคิดสร้างสรรค์ที่สามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ผู้คนและโลกใบนี้ได้อีกมากมาย เพียงแค่รู้จักดึงมันออกมาใช้และมีสติที่จะรับมือกับความรู้สึกนึกคิดหรืออารมณ์ตัวเองที่ดี คุณอรตัดสินใจเลือกใช้ชีวิตที่มีความสุขและประสบความสำเร็จในแบบของตัวเองถึงแม้จะยังต้องกินยาอยู่หรือยังไม่หายป่วย เธอสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ในทุก ๆ วันและประสบความสำเร็จในงานที่เธอทำสร้างยอดขายทะลุเป้าหมายได้รับรางวัลอย่างงดงาม นอกจากนี้เธอยังสามารถส่งต่อพลังแห่งความสุขและความสำเร็จเพื่อเป็นแรงบันดาลและช่วยเหลือสนับสนุนให้ผู้อื่นมีความสุขและประสบความสำเร็จอีกด้วย
สรุปข้อคิดจากกรณีศึกษา ผู้ป่วยไบโพลาร์กับชีวิตที่เลือกเอง
1. โรคทางจิตเวช ไม่ว่าจะเป็น โรคซึมเศร้า ไบโพลาร์ โรควิตกกังวลหรือโรคแพนิก หากคุณเข้ารับการรักษาด้วยยาแล้ว คุณจำเป็นต้องมีวินัยในการกินยาตามที่คุณหมอแนะนำและไปพบคุณหมอตามนัด ไม่ปรับลดหรือเพิ่มยาเอง ไม่หยุดยาเอง หากคุณอยากให้การรักษาด้วยยามีประสิทธิภาพและได้ผลดี ไม่อยากเสียเวลาหรือเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาบำบัดเกินจำเป็น เพราะไม่เช่นนั้นแล้วจะทำให้เกิดการดื้อยา การถอนยาและอาการกำเริบที่รุนแรงมากจะส่งผลให้การรักษาบำบัดยากหรือซับซ้อนและยาวนานขึ้น
2. การพูดคุยปรึกษาหรือระบายความในใจ ความอึดอัดคับข้องใจควรระบายกับคนที่เข้าใจและรับฟังเราด้วยใจ ไม่ตัดสิน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้เราได้ระบายและรู้สึกดีขึ้นได้ อีกทั้งช่วยสะท้อนให้เราได้เห็นปัญหาที่แท้จริงและแนวทางในการรับมือแก้ไขปัญหา หากเราระบายกับคนที่ไม่เข้าใจ นอกจากจะไม่ดีขึ้นแล้วยิ่งจะทำให้เรารู้สึกแย่ลงและรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ จะทำให้อาการของเราอาจจะแย่ลงไปอีก
3. แนวทางในการเยียวยาบำบัดโรคทางจิตเวชคล้ายกัน หากเราสามารถฝึกเยียวยาปรับสมดุลร่างกายเพื่อฟื้นฟูเยียวยาตัวเองได้จะช่วยให้อาการของเราดีขึ้น ย่นระยะเวลาความเจ็บป่วย ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาและการเยียวยาบำบัด ส่วนทางด้านจิตใจและจิตสังคมจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ในการเยียวยาเพราะส่วนใหญ่ผู้ป่วยมีมุมมองทางความคิดและการใช้ชีวิตไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และไม่สามารถรับมือกับความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเองได้ ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ในการเยียวยาบำบัดจะช่วยสะท้อนและแนะนำแนวทางที่ดีให้กับเราเพื่อรับมือและจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นและง่ายขึ้น
4. เราทุกคนล้วนมีศักยภาพยอดเยี่ยมในตัวเอง หากปล่อยให้ตัวเองเจ็บป่วยหรืออยู่ในสภาวะที่เป็นทุกข์ ความหดหู่ เศร้าหมองและความรู้สึกสิ้นหวัง เราจะไม่สามารถใช้ศักยภาพที่เรามีอยู่ให้เป็นประโยชน์ได้ ยิ่งปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาวะที่เป็นทุกข์นาน มุมมองทางความคิดและวิถีชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในด้านลบ หากเราได้เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนสภาวะอารมณ์ของตัวเอง เราจะสามารถดึงศักยภาพที่ยอดเยี่ยมในตัวเราออกมาใช้เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส สิ่งที่จะช่วยให้เราพลิกชีวิตและจิตใจตัวเองให้ออกจากสภาวะที่เป็นทุกข์นี้ได้ คือ เราต้องเปิดใจเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเอง
5. การวางใจในการกินยาและการรักษาโรคทางจิตเวชนั้นสำคัญต่อความสุขของตัวผู้ป่วยเอง หลายคนวางเงื่อนไขให้ตัวเองไม่มีความสุข เพราะความอยากหายและอยากหยุดยาได้เร็ว ๆ ความคิดที่เราตีกรอบเพื่อปิดกั้นความสุขของตัวเราเองส่วนใหญ่ที่พบคือ “ถ้าเราหยุดยาหรือหายป่วยได้เราคงจะมีความสุขได้” หากเราทำความเข้าใจเรื่องยาและการรักษาโรคจิตเวช เราจะตระหนักรู้ว่ามันต้องใช้เวลาในการรักษาที่ยาวนานกว่าโรคทั่วไป และถึงแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ยังจำเป็นต้องกินยาเพื่อควบคุมอาการต่อไปอีกยังไม่สามารถหยุดได้ในทันที และถ้าหากเราทำใจยอมรับว่าการกินยานั้นเป็นการที่เราต้องกินตามหน้าที่ การกินยานั้นจะไม่สามารถบั่นทอนความสุขหรือมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตเราได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
โรคซึมเศร้า ไบโพลาร์หรือโรคทางจิตเวชอื่น ๆ อาจทำให้เราทุกข์ทรมานใจและมีข้อจำกัดในชีวิตมากมาย ซึ่งเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตของเราให้มีความสุขและประสบความสำเร็จได้ในแบบของตัวเองได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองแล้วตัดสินใจที่จะเลือกหรือไม่?
ขอขอบคุณคุณอร (นามสมมติ) จากหัวใจที่อนุญาตให้แชร์ส่งต่อประสบการณ์ที่งดงามเพื่อเป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจกับผู้อื่นต่อไป และไม่ลืมที่จะขอแสดงความยินดีกับชีวิตใหม่ที่เลือกเองกับความสุขและความสำเร็จในแบบของตัวเองที่ยอดยี่ยมที่สุดค่ะ ขอชื่นชมจากหัวใจ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม : คอร์สเยียวยารักษาใจและพัฒนาคุณภาพชีวิต
หากเพื่อน ๆ ต้องการใช้ บริการโทรรับฟังด้วยใจ อยากระบาย อยากมีคนที่เข้าใจ คอยรับฟังด้วยใจ ไม่ต้ดสิน หรือต้องการเรียนรู้เพื่อการเยียวยาบัดโรคซึมเศร้าและโรคทางจิตเวชอื่น ๆ เพื่อลดยาและหยุดยา สามารถเพิ่มเพื่อนในไลน์ทักแชทมาพูดคุยกันได้นะคะ
