เมื่อลูกวัยรุ่นป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เราจะดูแลยังไงดี? มีคุณแม่หลายท่านทักแชททางไลน์มาพูดคุยปรึกษากับจี เนื่องจากมีลูกในวัยรุ่นวัยเรียนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และคุณแม่พยายามมองหาการรักษาบำบัดโรคซึมเศร้ามากมาย เพราะอยากให้ลูกหายป่วยเร็ว ๆ หรือรักษาด้วยยามานานแล้วไม่หาย แล้วสนใจการเยียวยาบำบัดทางเลือกอื่น ๆ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ จีไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ป่วยโดยตรง หรือบางทีก็ได้คุยกับผู้ป่วยบ้าง แต่ผู้ป่วยยังไม่เปิดใจในการเยียวยาบำบัด จึงไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนได้เต็มที่ หลังจากจีมีโอกาสได้เข้าไปช่วยเยียวยาบำบัดใน กรณีศึกษา การรักษาบำบัดวัยรุ่นกับโรคซึมเศร้า นี้ จึงขออนุญาตนำมาแชร์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป หากลูกของคุณหรือคนในครอบครัวกำลังป่วยเป็นโรคซึมเศร้า จีหวังว่า กรณีศึกษา การรักษาบำบัดวัยรุ่นกับโรคซึมเศร้า จะช่วยเป็นแนวทางในการช่วยให้คุณแม่หรือผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่เป็นวัยรุ่น รวมทั้งผู้ที่สนใจนำไปปรับใช้เพื่อก้าวข้ามผ่านโรคซึมเศร้าไปด้วยกันนะคะ
คุณแม่ท่านหนึ่งได้ทักแชททางไลน์มาพูดคุยกับจี บอกว่าลูกสาวป่วยเป็นโรคซึมเศร้า น้องสกาย (นามสมมติ) อายุ 14 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ได้เข้ารับการรักษากับจิตแพทย์และใช้การรักษาด้วยยามาประมาณ 8 เดือนแล้ว รวมทั้งเพิ่งได้เริ่มต้นทำจิตบำบัดกับนักจิตวิทยาควบคู่ไปด้วย แต่ช่วงนี้น้องใกล้สอบและมีอาการแย่ลง น้องร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน มีความกลัวและความวิตกกังวลสูง คุณแม่เล่าให้ฟังอีกว่า คุณแม่ต้องปลุกน้องอาบน้ำเพื่อไปโรงเรียนและน้องจะเข้าไปนั่งอยู่ในห้องน้ำนาน ต้องเรียกน้องทุก ๆ 15 นาที จนคุณแม่ต้องเข้าไปช่วยเพื่อให้น้องได้อาบน้ำและเตรียมตัวไปโรงเรียนได้ทัน น้องต้องเผชิญกับปัญหามากมาย โดยที่ยังไม่สามารถรับมือและจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ คุณแม่มีความเครียด ความวิตกกังวลและเป็นห่วงน้องมาก เพราะสังเกตเห็นว่าความคิดและพฤติกรรมของน้องที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก จนทำให้รู้สึกกลัวและหวั่นใจว่าน้องจะสามารถกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมได้ไหม น้องสกายเริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าว ติดมือถือ ติดเกมส์ เก็บตัวอยู่ในห้องมากขึ้น และมีความกลัว ความกังวลมากในเรื่องการไปโรงเรียน น้องไม่อยากไปโรงเรียน และมีปัญหาทางด้านอารมณ์ที่แปรปรวน ขาดสมาธิ ไม่สามารถเข้ากับเพื่อนหรือครูที่โรงเรียนได้
การบูลลี่ (bullying) และโรคซึมเศร้าในวัยรุ่น
จากข้อมูลทางการแพทย์และข่าวสารเรื่องโรคซึมเศร้าของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในวัยรุ่นไทยนั้น เรื่องการบูลลี่ (bullying) เป็นปัจจัยสำคัญและยังคงไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขอย่างเหมาะสม จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในวัยรุ่นหรือวัยเรียนมีความเครียดสะสมเรื้อรัง และส่งผลให้วัยรุ่นป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย หลังจากที่ได้สอบถามพูดคุยกับคุณแม่เพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติการรักษา ความเจ็บป่วย สาเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาการของน้องสกายและสิ่งที่น้องเผชิญ จีได้โทรพูดคุยกับน้องสกายโดยตรง เพื่อให้ได้รับข้อมูลจากน้องเพิ่มเติมและทราบถึงอารมณ์ความรู้สึกที่น้องกำลังเผชิญหรือเก็บกดเอาไว้ จากความเครียดเรื้อรังที่สะสมมายาวนาน ซึ่งมันส่งผลถึง Self-esteem และความรู้สึกสูญเสียตัวตนของน้อง และปัญหาสำคัญที่พบ ก็คือ การบูลลี่ (bullying) เมื่อพูดคุยเพื่อหาสาเหตุจึงได้รู้ถึงต้นตอที่กระตุ้นให้น้องป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเคยมีประเด็นปัญหาที่ส่งผลกับการเกิดความเจ็บป่วยของน้องในช่วง ป.6 และมีการบูลลี่มาตลอดจากเพื่อนและครูที่โรงเรียน จนทำให้น้องมีภาวะซึมเศร้ามาตลอดจนกระทั่งเพิ่งได้พบจิตแพทย์และเข้ารับการรักษาตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
จีได้โทรพูดคุยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความไว้วางใจ และเพื่อเจาะลึกถึงปัญหาที่แท้จริงที่น้องต้องเผชิญลำพัง ซึ่งคุณแม่เคยบอกว่าพยายามที่จะถามน้องแล้ว แต่น้องบอกว่าเป็นความลับ ซึ่งน้องอาจยังไม่พร้อมหรือไม่กล้าที่จะบอกคุณแม่ การโทรหรือการเยียวยาบำบัดแบบพูดคุยจะช่วยให้น้องได้ระบายอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นออกมา และได้เรียนรู้ที่จะตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของน้อง รวมทั้งสะท้อนให้น้องได้มองเห็นมุมมองทางความคิดทั้งที่มีต่อตัวเองและผู้อื่น ซึ่งในช่วงที่จีเข้าไปช่วยดูแลเยียวยาน้องนั้น เป็นช่วงที่น้องรู้สึกดิ่ง ดาวน์ และมีการทำร้ายตัวเอง อารมณ์สวิง ไม่สามารถรับมือและจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ มีความอ่อนไหวทางอารมณ์และยังเผชิญกับสถานการณ์ที่กระทบใจและกดดันจากเพื่อนและครูที่โรงเรียน จนทำให้น้องรู้สึกกดดันมากและกดดันตัวเองเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะพยายามให้ตัวเองเข้ากับเพื่อนและสังคมที่โรงเรียนได้
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องช่วยกันประคับประคอง เพื่อช่วยให้น้องสกายสามารถก้าวข้ามผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ง่ายขึ้น หลังจากที่น้องมีอาการทรงตัว มีสติตระหนักรู้ได้มากขึ้น เราก็เริ่มปรับวิธีคิดและมุมมองในเรื่องต่าง ๆ ที่น้องมีปัญหาติดขัด จนช่วยให้น้องสามารถค่อย ๆ ปรับตัวปรับใจแล้วเริ่มมีกำลังใจที่จะไปโรงเรียน ลดความกลัว ความวิตกกังวลในเรื่องต่าง ๆ ที่โรงเรียนได้มากขึ้น รวมทั้งปรับจุดอ่อนเรื่องบุคลิกภาพที่ส่งผลให้น้องขาดความมั่นใจ มักจะแบกความรู้สึกด้านลบ แคร์ความรู้สึกของผู้อื่นมากเกินไป จนรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวเองที่ดีไป ช่วยให้น้องรู้สึกดีต่อตนเองได้มากขึ้น กล้าพูดในสิ่งที่ตนเองต้องการ และรู้จักปฏิเสธได้มากขึ้นโดยไม่รู้สึกผิดเหมือนก่อน และสามารถเลือกกลุ่มเพื่อนที่สนับสนุนเป็นกำลังใจให้น้องใช้ชีวิตที่โรงเรียนได้ดีขึ้น
การเยียวยาบำบัดจิตใต้สำนึก ปลดปล่อยอารมณ์ด้านลบที่ค้างใจ
การที่คน ๆ หนึ่งนั้นต้องเผชิญกับสภาวะความเครียดเรื้อรังและความกดดันมายาวนาน จนส่งผลก่อให้เกิดความเจ็บป่วยทางใจนั้น ทำให้เกิดการเก็บกด สะสม หรือกลบฝังอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดด้านลบเอาไว้มากจนเกิดอารมณ์ที่ท่วมท้น ไม่สามารถรับมือและจัดการได้ และวิธีคิดหรือมุมมองที่มีทั้งต่อตัวเองและสิ่งต่าง ๆ ย่อมเปลี่ยนไปในทิศทางที่แย่ลงด้วย แล้วมันก็จะฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของเราจนกลายเป็นอัตโนมัติ ปัญหาที่พบทางด้านอารมณ์ความรู้สึกและพฤติกรรมของน้องสกายอยู่ในช่วงที่อารมณ์ความรู้สึกดิ่ง ดาวน์ อารมณ์ยังสวิง การนอนยังไม่ดีต้องใช้ยานอนหลับ น้องบอกว่าการตื่นไปโรงเรียนในตอนเช้าเป็นเรื่องที่รู้สึกยาก ไม่อยากตื่น ไม่อยากไปโรงเรียน เพราะน้องยังต้องเผชิญกับปัญหาการบูลลี่ที่โรงเรียน รู้สึกแปลกแยก และมีความรู้สึกด้านลบที่มีต่อตัวเอง ที่เห็นได้ชัดคือน้องขาดความมั่นใจ รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ ซึ่งเมื่อค้นลึกลงไปภายในจิตใจ น้องมีบางปมในวัยเด็กและในอดีตที่ส่งผลต่อความรู้สึกเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
น้องไม่สามารถเข้ากับเพื่อนได้ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงข้อมูลที่ได้รับจากคุณแม่ ก่อนหน้าที่น้องจะป่วย น้องเป็นเด็กที่ร่าเริง เรียนเก่ง ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดี พอได้รับรู้ถึงการเรียนและกิจกรรมที่น้องได้ทำน้องเป็นเด็กที่ฉลาดและเก่งมาก น้องสามารถแกะสลักผลไม้ได้อย่างงดงามและเรียนรู้ที่จะออกแบบประกอบหุ่นยนต์บังคับไฟฟ้าได้ด้วยความสามารถที่น่าทึ่ง แต่ความอารมณ์ความรู้สึกด้านลบที่บดบังศักยภาพและทำให้น้องสูญเสียตัวตน สูญเสียความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจในตัวเอง ก็คือการถูกบูลลี่ที่ทำให้น้องวนลูปและจมอยู่กับความรู้สึกเช่นนั้นมายาวนาน จนไม่สามารถปรับตัวปรับใจให้เข้ากับสังคมที่เป็นอยู่ได้ ประกอบกับเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ที่อาจมีปัญหาในครอบครัวที่น้องรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่อาจไม่เข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวและการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน และทำให้น้องรู้สึกกดดันตัวเองและแบกความรู้สึกเหล่านั้นไว้คนเดียว
จีช่วยให้น้องได้ระบายความรู้สึกที่ท่วมท้นด้วยการโทรพูดคุยและพาลงกระบวนการเยียวยาจิตใต้สำนึก เพื่อเคลียร์ความรู้สึกด้านลบ สร้างพลังบวกและความเชื่อมั่นให้กับน้องสกาย รวมทั้งให้น้องฝึก มองเห็นจุดแข็งหรือด้านดีของตัวเอง เพื่อเพิ่มความพึงพอใจในตนเอง (Self-esteem) ฝึกรักและเมตตาตนเองให้มากขึ้น (Self Love & Compassion) และกล้าที่จะปฏิเสธ รวมทั้งพูดความต้องการหรือความรู้สึกของตัวเองได้อย่างมั่นใจมากขึ้น หลังจากเยียวยาจีได้พูดคุยอัพเดทกับคุณแม่อย่างต่อเนื่องถึงความเปลี่ยนแปลง ทั้งความคิดและพฤติกรรมที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นของน้อง
รวมพลังการรักษาและเยียวยาบำบัดโรคซึมเศร้าแบบองค์รวม
ในกรณีศึกษานี้เป็นตัวอย่างกรณีศึกษาที่ดี ที่จะช่วยให้เพื่อน ๆ ได้มองเห็นแนวทางในการรักษาบำบัดที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีมาก เพราะแนวทางการรักษาที่น้องสกายได้รับ โดยคุณแม่เป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดนั้น น้องได้รับการรักษาด้วยยาจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมได้รับการทำจิตบำบัดจากนักจิตวิทยาควบคู่ไปด้วย รวมทั้งคุณแม่และน้องสกายตัดสินใจเลือกการเยียวยาบำบัดโรคซึมเศร้าแบบองค์รวมใน คอร์สเยียวยารักษาใจและพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งอนุญาตให้จีเข้าไปช่วยดูแลเติมเต็มในส่วนที่จิตแพทย์และนักจิตวิทยาไม่สามารถเข้าถึงใจผู้ป่วยได้ จึงช่วยให้การรักษาบำบัดโรคซึมเศร้ามีประสิทธิภาพอย่างเห็นได้ชัด และสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีผลต่อการหายป่วยของโรคซึมเศร้านั้น ก็คือ ความรัก ความเข้าใจและกำลังใจจากคนในครอบครัว โชคดีมาก ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ของน้องสกายได้เปิดใจเรียนรู้และเข้าใจความเปลี่ยนแปลง รวมทั้งสิ่งที่น้องต้องเผชิญมากขึ้น
การปรับความสัมพันธ์ภายในครอบครัว โดยเฉพาะช่วงที่มีคนในครอบครัวหรือลูกป่วยเป็นโรคซึมเศร้า รวมทั้งแม้จะไม่ได้ป่วยแต่เป็นช่วงวัยรุ่นนั้น จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง รวมทั้งตัวลูก ๆ เองเข้าใจกันและกัน สามารถปรับตัวปรับใจกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจไม่เข้าใจกัน จนก่อให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ได้ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ภายในครอบครัวแล้วไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขอย่างถูกต้อง ก็เป็นเรื่องยากที่ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นแล้วหายได้ตามระยะเวลาที่ควรจะเป็น
สามเดือนที่ได้ดูแลเยียวยากันและคุณแม่ดูแลให้น้องกินยาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงไปพบคุณหมอและนักจิตวิทยาตามนัด น้องกลับมาร่าเริง สดใส มั่นใจในตัวเองมากขึ้น สามารถกลับไปเรียนและสอบผ่าน รวมทั้งตั้งเป้าหมายในการเรียนต่อชัดเจน มีพลังในการใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน จีรู้สึกยินดีและดีใจกับน้องสกาย คุณแม่และครอบครัวที่สามารถก้าวข้ามผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ถึงแม้น้องจะยังต้องทานยาต่อไปเพื่อควบคุมอาการ แต่น้องและครอบครัวก็มีความสุข มีความเข้าใจ รวมถึงการกลับคืนสู่สภาวะปกติจากโรคซึมเศร้าได้
ข้อแนะนำ
1. หากคุณมีลูกวัยรุ่นหรือคนใกล้ตัวป่วยเป็นโรคซึมเศร้า สิ่งสำคัญอันดับแรก คือ การไปพบจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาบำบัดอย่างถูกต้องเหมาะสมและทันท่วงที เพราะหากปล่อยไว้นานการรักษาก็ยิ่งต้องใช้เวลามากขึ้น และมันจะยิ่งทำให้การรักษายากหรือซับซ้อนมากขึ้น
2. ดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าให้กินยาตามที่คุณหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด ไม่ปรับลดเพิ่มยาเองหรือหยุดยาเอง เพราะมันจะส่งผลเสียต่อการรักษา และต้องไปพบคุณหมอตามนัดเพื่อให้การรักษาต่อเนื่อง เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้วต้องดูแลให้เขากินยาต่อเนื่องต่อไปอีกจนกว่าคุณหมอจะอนุญาตให้หยุดยาได้ เพื่อป้องกันการกลับไปป่วยซ้ำหรือมีอาการกำริบซ้ำ
3. เมื่อผู้ป่วยสามารถปรับยาได้เหมาะสมมีอาการทรงตัวแล้ว หากพบว่ามีปัจจัยทางด้านจิตใจหรือด้านอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ขอแนะนำว่าควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการทำจิตบำบัด หรือเยียวยาแก้ไขสาเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้การรักษาด้วยยามีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหรือผู้ใกล้ชิด รวมทั้งตัวผู้ป่วยเอง ควรเปิดใจเรียนรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและการรักษาบำบัด ทำความเข้าใจกับการรักษาด้วยยาและแนวทางการดูแลเยียวยาบำบัดโรคซึมเศร้า เพื่อสร้างความเข้าใจ เพราะโรคซึมเศร้าเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องใช้เวลาในการรักษายาวนาน และเป็นโรคทางใจที่ละเอียดอ่อน เพื่อที่จะช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องไม่เร่งรัดหรือกดดันที่จะให้ผู้ป่วยหายเร็ว ๆ ซึ่งจะช่วยลดความกดดันที่มีต่อตัวผู้ป่วยเองและผู้ดูแลด้วย
5. การเยียวยาโรคซึมเศร้าทางเลือกมีมากมาย และการเยียวยาบำบัดโรคซึมเศร้าแบบองค์รวมนั้นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะช่วยสนับสนุนการรักษาบำบัดโรคซึมเศร้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ดูแลหรือคุณแม่ส่วนใหญ่ที่มีลูกป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามัก จะค้นหาแนวทางการรักษาต่าง ๆ มากมายที่ใครว่าอะไรดีก็อยากให้ผู้ป่วยลองดู สิ่งสำคัญเราควรเข้าใจการรักษาบำบัดทางเลือกนั้น ว่าเหมาะสมกับผู้ป่วยหรือไม่ เพราะแต่ละการบำบัดหรือการรักษาทางเลือกนั้น จะมีประสิทธิภาพและได้ผลดีกับผู้ป่วยแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และควรให้เวลาการรักษาบำบัดที่จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องและใช้เวล เราจะได้ไม่เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเกินจำเป็น
6. ในช่วงเวลาที่คนในครอบครัวป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หรือโรคอื่น ๆ ผู้ดูแลผู้ป่วยหรือผู้ใกล้ชิดจะเกิดความเครียด ความกลัว ความกังวล หรืออาจพักผ่อนไม่เพียงพอ ขอแนะนำให้ดูแลสุขภาพกายใจตัวเองให้สมดุลและฝึกรับมือจัดการกับความเครียดเหล่านั้นให้เหมาะสมด้วย
7. ความสัมพันธ์ที่ดีของคนในครอบครัว ความเข้าใจกันและกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญต่อการหายป่วยของผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามาก หากพบว่ามีปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยและคนในครอบครัวเอง การเยียวยาและปรับความสัมพันธ์แบบครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูแล ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ด้วย เพื่อที่จะได้ช่วยสนับสนุนให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ดีขึ้นด้วย
ข้อคิดและสิ่งที่ได้เรียนรู้
1. ปัจจุบันวัยรุ่นไทยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ากันมากขึ้น และสาเหตุหรือปัจจัยสำคัญที่เห็นได้ชัดส่วนใหญ่ที่พบ ซึ่งส่งผลให้วัยรุ่นมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคซึมเศร้านั้น ก็มาจากการที่พวกเขาไม่สามารถปรับตัวปรับใจหรือก้าวข้ามปัญหาที่เกิดจากความเครียดความกดดัน ทั้งปัญหาภายในครอบครัวและปัญหาการโดนบูลลี่จากเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนหรือแม้กระทั่งในโลกโซเชียล ที่มีการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น จนทำให้พวกเขารู้สึกด้อยค่า แปลกแยก รู้สึกผิดหรือรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ ไม่คู่ควร
2. ในวัยรุ่นหลายคนมีภาวะซึมเศร้าหรือป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว พวกเขาไม่ได้แสดงอาการเศร้าให้เห็นหรือแสดงออกทางพฤติกรรมอื่น ๆ เช่น อาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ หรือมีพฤติกรรมที่แยกตัวออกจากสังคม ติดเกมส์ อยู่ในโลกส่วนตัว ซึ่งถ้าพูดถึงพฤติกรรมช่วงวัยรุ่นหลายคนที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แต่อาจมีพฤติกรรมเหล่านี้ เนื่องจากเขาเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นและอาจมีความต้องการที่จะมีพื้นที่ส่วนตัว ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ที่อาจจะแตกต่างออกไปจากวัยเด็กหรือก่อนหน้านี้ ซึ่งหากผู้ปกครองไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของความเปลี่ยนแปลง หรือไม่ได้เปิดใจที่จะเรียนรู้และปรับตัวปรับใจกับความเปลี่ยนแปลง ก็อาจส่งผลให้มีปัญหาความสัมพันธ์เกิดขึ้นได้เช่นกัน
3. ในกรณีที่ผู้ปกครองเข้ามาปรึกษาว่าลูกป่วยเป็นโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่นั้น จีพบว่าตัวผู้ปกครองเองมีส่วนสำคัญต่อการหายป่วยของลูกมาก บางทีจีไม่เคยคุยกับผู้ป่วย แต่สิ่งที่จีทำได้คือแนะนำในส่วนที่สร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้ปกครอง และช่วยปรับวิธีคิดหรือทัศนคติ เพื่อลดความกดดัน ความคาดหวังจากผู้ปกครอง ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยทางอ้อมได้
4. ในกรณีที่ได้พูดคุยกับทั้งตัวผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในวัยรุ่นหรือวัยอื่น ๆ และได้คุยกับผู้ปกครองด้วย ส่วนใหญ่จะเห็นได้ว่าตัวผู้ป่วยนั้นมีความพยายามที่จะรักษาตัวเองให้หาย แต่ได้รับความกดดัน ความคาดหวังจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยที่พวกท่านอาจไม่รู้ตัวหรือตระหนักรู้ในเรื่องนี้ จนทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าท่านไม่เข้าใจและรู้สึกเป็นภาระ ดังนั้นการเข้าใจโรคและการปรับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการหายป่วยได้มากทีเดียว
5. กรณีศึกษานี้เป็นประโยชน์และแนวทางที่ดี ในการรักษาบำบัดวัยรุ่นที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เนื่องจากคุณแม่ดูแลน้องให้ได้รับการรักษากับจิตแพทย์ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที ได้รับการบำบัดความคิดและพฤติกรรมที่ดีจากนักจิตวิทยา และจีได้เข้าไปเสริมในส่วนที่จิตแพทย์และนักจิตวิทยาไม่อาจเข้าถึงใจผู้ป่วยได้ รวมทั้งคุณแม่และคนในครอบครัวได้ปรับตัวปรับใจ เข้าใจในสิ่งที่น้องต้องเผชิญ ช่วยดูแลและประคับประคอง รวมทั้งเป็นกำลังใจช่วยให้น้องได้ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิตนั้นมาได้ แล้วกลับคืนสู่สุขภาวะจากโรคซึมเศร้าได้
ขอขอบคุณคุณแม่และน้องสกายที่อนุญาตให้แชร์บทความ กรณีศึกษา การรักษาบำบัดวัยรุ่นกับโรคซึมเศร้า เพื่อช่วยเป็นแนวทางในการก้าวข้ามผ่านโรคซึมเศร้าและเป็นประโยชน์กับผู้อื่นต่อไปนะคะ จีขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม : เยียวยาบำบัดโรคซึมเศร้า/โรคทางจิตเวชแบบองค์รวม
