คุณรู้หรือไม่ว่าผู้หญิงหลังคลอดบุตรอาจมีภาวะเสี่ยงที่จะเป็น  “โรคซึมเศร้าหลังคลอด” ได้? เมื่อก่อนจีไม่เคยรู้เรื่องนี้จนกระทั่งในตอนที่จีป่วยเป็นโรคซึมเศร้าซ้ำครั้งก่อนแล้วค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าเพิ่มเติม จีจึงได้พบข้อมูล โรคซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum Depression) และได้พูดคุยกับน้องสาวคนเล็กของจี น้องบอกว่าก็เคยเป็นเช่นกัน แต่ก็รักษาด้วยยาจนหายแล้วกลับมาใช้ชีวิตปกติสุขได้เหมือนเดิม และยังมีเพื่อนเก่าก็เคยมาปรึกษา แต่เพื่อนเป็นแค่ ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum Blue/Baby Blue) ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา จีมี กรณีศึกษา การเยียวยาบำบัดโรคซึมเศร้าหลังคลอด ที่น่าสนใจ ซึ่งคุณเตย (นามสมมติ) อนุญาตให้แชร์ประสบการณ์การต่อสู้เพื่อก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากของเธอให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพื่อเป็นประโยชน์และแรงบันดาลใจให้เพื่อนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและโรคทางจิตเวชต่อไปค่ะ

คุณเตย (นามสมมติ) ทักแชทมาพูดคุยกับจีทางอินบ๊อกซ์เพจ บอกว่าเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอด เพิ่งเริ่มกินยาได้  22 วัน กำลังหาทางต่อสู้กับอาการที่มันดิ่งอยู่ ได้ยา Serlift 50 mg. มากินวันละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า พร้อมยานอนหลับที่คุณหมอให้ไว้กินเวลาที่นอนไม่หลับ เธอบอกว่าตั้งแต่รักษามาเธอนอนค่อยไม่หลับเลย บำบัดตัวเองด้วยการสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ไปทำบุญเพื่อความสบายใจ แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในช่วงเหงา เศร้า หดหู่ ซึ่งจะเป็นช่วงเย็น ๆ ค่ำ ๆ ยาช่วยให้รู้สึกดีบ้าง ไม่ดีบ้าง และมีอาการดิ่งอยู่เป็นระยะ ๆ  จีถามเธอว่ามีความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายหรือเคยทำร้ายตัวเองไหม? เธอตอบว่า ถ้าดิ่งมากก็อยากตาย เบื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ทรมานใจ แต่ไม่เคยทำร้ายตัวเอง บางวันก็เหงา เศร้า หดหู่ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม

เธอเล่าอาการตั้งแต่ตอนท้องให้ฟังคร่าว ๆ ว่า เธอแพ้ท้องหนักมาก ตอนท้องไม่ค่อยมีความสุข แต่ตอนนั้นไม่รู้ตัว พอคลอดน้องได้  2 วันอยู่ ๆ ก็ร้องไห้ รู้สึกไม่ผูกพันธ์กับลูก รู้สึกทรมานในการเลี้ยงลูก ทั้ง ๆ ที่มีแม่และสามีช่วยเลี้ยง รู้สึกผิดและสงสารลูกมาก จึงตัดสินใจเล่าให้สามีฟังและไปพบจิตแพทย์ นัด 2 อาทิตย์แรก ดีขึ้น แล้วอยู่  ๆ ก็ไม่มีความสุข เป็นทุกข์มาก อยากทำร้ายตัวเอง เลยไปพบจิตแพทย์อีกครั้ง แล้วเริ่มรักษาด้วยยา ตอนที่เธอได้ทักมาพูดคุยกับจีนั้น เธอบอกว่าลูกไปอยู่กับแม่ที่ต่างอำเภอ ตัวเธอเองมาทำงานอยู่กับสามี ความสัมพันธ์กับลูกดีขึ้นมากแล้ว แต่อาการซึมเศร้าของเธอยังอยู่ เธอบอกว่ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อลูก บางวันอาการดีจนคิดอยากจะหยุดยาเอง แต่มาอ่านเจอบทความของจีเลยไม่กล้าหยุดยาเอง โชคดีที่เธอไม่หยุดยาเอง เพราะถ้าหยุดยาเองโดยที่โรคยังไม่หายสนิทหรือไม่ได้กินยาต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการตามที่คุณหมอแนะนำ ก็อาจจะทำให้อาการกลับมากำเริบรุนแรงมากขึ้นไปอีกแล้วต้องเสียเวลามาเริ่มต้นกินยารักษากันใหม่เหมือนกับจีและเพื่อนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอีกมากมายที่ขาดความรู้ความเข้าใจในการรักษาโรคซึมเศร้าด้วยยา

ฝึกรับมือกับโรคซึมเศร้าเพื่อก้าวข้ามผ่านแต่ละช่วงเวลาไปได้ง่ายขึ้น

คุณเตย ตัดสินใจเรียนรู้แนวทางการเยียวยาบำบัดโรคซึมเศร้าใน คอร์สออนไลน์ 7 เคล็ดลับเอาชนะโรคซึมเศร้าด้วยตัวเราเอง ไปด้วยกันกับจี เราพูดคุยทำความเข้าใจเรื่องโรคซึมเศร้า ค้นหาสาเหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ป่วยและกระตุ้นอาการของเธอให้รู้สึกดิ่ง และทำความเข้าใจกับการรักษาด้วยยา รวมทั้งฝึกรับมือในช่วงเวลาที่เธอต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อก้าวข้ามผ่านและวางใจได้ถูก เรียนรู้แนวทางที่จะฝึกดูแลเยียวยาตัวเอง ทำในสิ่งที่จะทำได้เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้นและไม่เสียเวลาในการกินยาและการรักษาเกินจำเป็น

แต่ในช่วงแรกที่อาการยังไม่ทรงตัวยังคงปรับยาอยู่คุณเตยไม่สามารถที่จะอ่านอีบุ๊กหรือข้อมูลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าที่จีมีให้ได้มากนัก เพราะยังขาดสมาธิและไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ทำตรงหน้าได้เหมือนปกติ ยังมีอาการอารมณ์เบื่อ เศร้า หดหู่ จีจึงส่ง Podcast ที่จีทำไว้เพื่อแชร์ข้อมูลโรคซึมเศร้าให้เธอได้ฟังแทน และแชทพูดคุยทางไลน์ส่วนตัวเพื่อช่วยประคับประคองเป็นกำลังใจในช่วงอาการที่ยังรู้สึกดิ่งอยู่ รวมทั้งบางช่วงคุณเตยก็ใช้บริการโทรรับฟังด้วยใจเพื่อระบายอารมณ์ความรู้สึกที่เก็บกดและมองหาแนวทางที่จะก้าวข้ามผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ง่ายขึ้น

“ตัวกระตุ้นอาการ” ที่ทำให้ทุกข์ทรมานใจได้หนักกว่า “ตัวโรคซึมเศร้า”

“พื้นฐานตัวเองเป็นคนใจร้อนและเอาแต่ใจตัวเอง พอตัวเองป่วยก็เร่งแต่อยากจะหาย ๆ” คุณเตยบอกกับจีหลังจากที่จีสัมผัสได้ว่าคุณเตยมีปัจจัยหรือตัวกระตุ้นอาการที่ทำให้ทุกข์ทรมานใจหนักมากกว่า “ตัวโรคซึมเศร้า” นั่นก็คือ ความอยากหายเร็ว ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่จิตใจอยู่ในช่วงปฏิเสธและหลีกหนีความจริง จิตใจจึงดิ้นรน จีจึงสะท้อนให้เธอ รู้เท่าทันใจตนเมื่อต้องเผชิญกับความเศร้า และทำความเข้าใจ เพื่อที่จะฝึกวางใจในการกินยาและการรักษาให้ถูกที่ถูกทางไม่ถูกอารมณ์เหวี่ยงไปมาให้วนลูปกับความทุกข์ทรมานใจกับความอยากหายป่วยเร็ว ๆ มากเกินไป และพูดคุยเพื่อฝึกปรับเปลี่ยนมุมมองทางความคิดหรือวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ

เริ่มต้นจากการฝึกเปลี่ยนคำถามเวลาที่ใจทุกข์หรือจมอยู่กับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตที่เกิดจากมุมมองทางความคิดของเธอที่เป็นไปในด้านลบในช่วงที่ป่วย จากที่ชอบถามตัวเองว่า ทำไม? เป็น ทำอย่างไร? เพื่อที่จะได้ไม่ติดอยู่กับปัญหานานเหมือนเดิมและสามารถมองเห็นทางออกได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณเตยได้ตระหนักรู้ถึงปัจจัยสำคัญที่คอยกระตุ้นอาการของเธอให้รู้สึกดิ่ง และมุมมองทางความคิดที่สร้างความทุกข์ใจทำให้เธอติดอยู่กับปัญหา เธอก็สามารถวางใจตัวเองให้ถูกที่ถูกทางและรับมือกับอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น

เมื่อโรคซึมเศร้ากลายเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว (ไบโพลาร์)

จากการที่ได้แชทคุยกันอย่างต่อเนื่องกับคุณเตยทางไลน์ส่วนตัว จีสังเกตเห็นได้ว่าอารมณ์ของเธอจะสวิงอยู่ตลอด ถูกกระตุ้นได้ง่าย และอารมณ์เธอดิ่งอยู่บ่อย ๆ (ซึ่งมีอาการคล้ายช่วงที่จีเคยถูกวินิจฉัยว่าเข้าข่ายไบโพลาร์) เธอรักษากับจิตแพทย์คนแรกใช้เวลาในการปรับยาอยู่พักใหญ่ อารมณ์และอาการของเธอยังสวิงอย่างเห็นได้ชัด ช่วงนั้นเธอรู้สึกทุกข์ทรมานกับการกินยาและผลข้างเคียงของยามาก เธอบอกว่ามีอาการเบลอ ๆ หลอน ๆ ความคิดลบเต็มหัว อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหดหู่ เหงา เศร้า ร้องไห้ออกมาแบบไม่มีเหตุผล อาการวนกลับอยู่อย่างนี้หลายครั้ง จนเธอรู้สึกดิ่งเหมือนจะสู้ไม่ไหว ช่วงนั้นจีก็พยายามประคับประคอง ส่งกำลังใจและช่วยให้เธอรู้สึกว่าเธอไม่ได้สู้อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว

พอได้พูดคุยถึงจิตแพทย์ที่รักษาเธออยู่และการปรับยากันจนเหนื่อย รวมทั้งการให้บริการของจิตแพทย์ที่รักษาเธออยู่นั้นเริ่มไม่โอเค เธอรู้สึกว่าไม่สบายใจอยากเปลี่ยนที่รักษาใหม่ จีจึงสนับสนุนให้เธอตัดสินใจเปลี่ยนเพราะเธอมีที่อื่นที่สะดวกและเธอสามารถเลือกได้ เมื่อเธอตัดสินใจเปลี่ยนจิตแพทย์และที่รักษาใหม่ หลังจากที่เหนื่อยล้ากับการปรับยามาประมาณเดือนกว่า เธอต้องทนทุกข์ทรมานใจกับผลข้างเคียงและการปรับยาใหม่อีกรอบ แล้วพบว่าเธอไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า แต่เป็นโรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์ โชคดีที่เธอตัดสินใจเปลี่ยนที่รักษาเพราะหลังจากผ่านช่วงปรับยามาได้อาการเธอดีขึ้นเป็นลำดับ

อาการทรงตัวและสัญญาณที่ดี ที่จะพาตัวเองกลับสู่สุขภาวะจากโรคจิตเวช

อาการทรงตัวเป็นยังไง? อะไรคือสัญญาณที่ดี? จีมักจะใช้ประโยคเหล่านี้กับเพื่อนผู้ป่วยเพื่อสร้างความหวังและกำลังใจรวมทั้งแสดงความยินดีตื่นเต้นไปกับเพื่อน ๆ อาการทรงตัว ก็คือ อาการหลังจากปรับยาได้จนอารมณ์เริ่มนิ่งขึ้น ไม่ต้องปรับลดหรือเพิ่มยา ไม่ต้องปรับเปลี่ยนยาแล้ว แสดงว่าเราถูกกับยาที่คุณหมอจัดให้ นี่เป็นสัญญาณที่ดีที่เราจะไม่ต้องทุกข์ทรมานกับผลข้างเคียงของยามากเกินไปเพราะอาการเหล่านั้นจะค่อย ๆ ทุเลาลงและคุณหมอจะเริ่มนัดห่างออกไป จากปกติส่วนใหญ่จะนัดทุกสัปดาห์เพื่อประเมินอาการหรือปรับยา ก็จะเปลี่ยนเวลานัดหมายให้ไปพบคุณหมอเพื่อประเมินอาการเป็นทุก 2 สัปดาห์ แล้วก็เป็น 1 เดือน 3 เดือนและ 6 เดือนตามลำดับแล้วแต่ดุลยพินิจของคุณหมอที่รักษาเรา

เมื่อเรามีสัญญาณที่ดีแบบนี้แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่เราต้องฝึกสร้างสมดุลทางด้านร่างกาย จิตใจและจิตสังคม รวมทั้งฝึกดูแลเยียวยาบำบัดตัวเองเพื่อที่จะช่วยให้อาการดีขึ้นและสามารถลดยา รวมทั้งหยุดยาได้ตามที่คุณหมอประเมิน คุณเตยเริ่มฝึกปรับเรื่องการนอน การกินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น การออกกำลังกายและการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์ ฝึกจัดการความเครียดและผ่อนคลายตัวเองจนอาการเธอดีขึ้นเป็นลำดับ หลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน คุณเตยส่งข้อความมาบอกจีว่ามีข่าวดี คุณหมอชวนหยุดยาแล้วเริ่มปรับลดยาให้เธอ และคุณหมอบอกว่าแพลนจะหยุดยาให้เธอได้ในเดือนธันวาคมนี้ค่ะ

ข้อคิดและสิ่งที่ได้เรียนรู้ :

1.จาก กรณีศึกษา การเยียวยาบำบัดโรคซึมเศร้าหลังคลอด สะท้อนให้เห็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานใจที่หนัก ๆ สองช่วง ก็คือ ช่วงแรกที่เริ่มกินยาหรือช่วงปรับยาโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะรู้สึกทุกข์ทรมานมาก และช่วงที่มีความอยากหายเร็ว ๆ มากระตุ้น บางทีมันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ไบโพลาร์หรือโรคทางจิตเวชอื่น ๆ มักจะมีความทุกข์ใจคล้าย ๆ กัน หากใครกำลังอยู่ในช่วงนี้จีขอเป็นกำลังใจให้ก้าวข้ามผ่านไปได้ด้วยดีเช่นกันนะคะ

2.อาการของโรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์ ในช่วงอารมณ์ซึมเศร้า จะเหมือนอาการโรคซึมเศร้า แต่ส่วนใหญ่ที่พบอาการจะรุนแรงและดิ่งได้หนักกว่า ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพและนิสัย ปัจจัยทางสังคม สิ่งแวดล้อมและปัญหาชีวิตที่ต้องเผชิญ รวมทั้งสภาพจิตใจของผู้ป่วยด้วย บางทีเราไปพบจิตแพทย์ในช่วงซึมเศร้า แล้วอาจได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือผู้ป่วยบางคนอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า แต่พออาการสวิงกลับไปอีกขั้วในช่วงอารมณ์ดีหรือหงุดหงิดมากกว่าปกติ (Mania) และหากคุณหมอวินิจฉัยอาการโดยละเอียดจึงได้รู้ว่าเป็น โรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์

3.หากรักษากับจิตแพทย์บางคนแล้วอาการไม่ดีขึ้นไม่ได้รับการดูแลใส่ใจเท่าที่ควร เราสามารถเปลี่ยนสถานที่รักษาได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่หงุดหงิดทุกข์ใจกับการให้บริการ โดยเฉพาะกับโรงพยาบาลของรัฐ ที่ต้องรอคิวนาน ได้พูดคุยกับจิตแพทย์ไม่กี่นาที ไม่ได้รับการให้คำปรึกษาใด ๆ หากเราสะดวกในเรื่องค่าใช้จ่ายและการเดินทางก็ลองเปลี่ยนไปรักษาในที่ ๆ เราสะดวกและดีต่อใจดีกว่านะคะ การรักษาจะได้คืบหน้าและได้ผลดีขึ้น

ขอขอบคุณ คุณเตย (นามสมมติ) จากหัวใจที่อนุญาตให้แชร์ประสบการณ์เรื่องราวที่มีคุณค่าทางใจและเป็นกรณีศึกษาที่เป็นประโยชน์ เป็นแรงบันดาลใจกับผู้อื่นต่อไป รวมทั้งขอแสดงความยินดีกับคุณเตยที่กำลังจะหยุดยาได้แล้วและสามารถกลับไปใช้ชีวิตที่ปกติสุขได้อย่างที่หวังไว้นะคะ

หากต้องการพูดคุยกับจีหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเยียวยาบำบัดโรคซึมเศร้าทางเลือก สามารถแอดไลน์เพิ่มเพื่อนได้เลยค่ะ

เพิ่มเพื่อน

Cr.Photos : Pixabay.com

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม : คอร์สเยียวยารักษาใจและพัฒนาคุณภาพชีวิต

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here